วัฎสงสาร ๓๑ ภูมิ


๓๑ ภูมิ ประกอบไปด้วย

( อรูปพรหม ๔ + รูปพรหม ๑๖ + เทวภูมิ ๖ + มนุษยโลก ๑ + อบายภูมิ ๔ )

(เดรัจฉาน , อสุรกาย , เปรต , นรก )

ส่วนพระอรหันต์ไม่นับรวมใน ๓๑ ภูมิ เพราะพระอรหันต์พ้นจากวัฏฏสงสารแล้ว

ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว


( พระอริยบุคคล ๔ จำพวก) มีดังนี้


๑. อรหัตโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นสูงสุด) มี ๒ ประเภท

(๑). เจโตวิมุตติ เป็นผู้ปฎิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานก่อน แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อจนสำเร็จพระอรหันต์ หรือ
ผู้ที่ปฎิบัติเฉพาะวิปัสสนา เมื่อได้มรรคผลนั้นพร้อมกับได้วิชา ๓ อภิญญา ๖ สามารถแสดงฤทธิ์ได้


(๒). ปัญญาวิมุตติ สำเร็จพระอรหันต์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วนๆ ไม่ได้บำเพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อนเลย
เรียกว่าสุกขวิปัสสกพระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติทำให้ฌานแห้งแล้ง ผู้ถึงภูมินี้เป็นผู้ที่สมควรแก่การบูชา
ของเหล่าเทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะสิ้นกิเลสด้วยโดยตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ สามารถ
เข้าอรหันตผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามปรารถนา และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกใน
วัฎสงสาร เมื่อถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพาน


๒. โสดาบันโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลกชั้นที่ ๑)

ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอริยะบุคคลโสดาบัน แบ่งเป็น


(๑). เอกพิซีโสดาบัน จะเกิดอีกชาติเดียว แล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน

(๒).โกลังโกลโสดาบัน จะเกิดอีก ๒-๖ ชาติ เป็นอย่างมากแล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน

(๓). สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วก็จะบรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน


๓. สกทาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๒)


ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าถึงพระอริยบุคคลสกทาคามี ซึ่งจะเกิดอีกเพียงชาติเดียวแบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ


(๑). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษยโลก และบรรลุพระอรหันตผลในมนุษย์โลก

(๒). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษย์โลกแล้วไปบรรลุพระอรหันต์ผลในเทวโลก

(๓). ผู้ถึงภูมินี้ในเทวโลกและบรรลุอรหันต์ผลในเทวโลก

(๔). ผู้ถึงภูมินี้ในเทวโลกแล้วมาบรรลุพระอรหันต์ผลในมนุษย์โลก

(๕). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษยโลกแล้วจุติไปเกิดในเทวโลกแล้วกลับมาบรรลุพระอรหันตผลในมนุษยโลก


๔. อนาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๓)


ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกแบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ


(๑). อันตราปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุครึ่งแรกของสุทธาวาสภูมิพรหมโลกที่สถิตอยู่

(๒).
อุปหัจจปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุครึ่งหลังของสุทธาวาสภูมิพรหมโลกที่สถิตอยู่

(๓).
อสังขารปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในพรหมโลกที่สถิตอยู่โดยสะดวกสบายไม่ต้องใช้ความเพียรมาก

(๔).
สสังขารปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในพรหมโลกที่สถิตอยู่โดยต้องพยายามอย่างแรงกล้า

(๕).
อุทธังโสตอกนิฎฐคามี ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก ชั้นต่ำที่สุด (อวิหาสุทธาวาสพรหมโลก) แล้วจึงจุติไปเกิด ชั้นสูงขึ้น
ไปตามลำดับ คือ อวิหา อัตัปปา สุทัสสา สุทัสสี แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปรินิพพานในอกนิฎฐพรหมโลก


โลกเบื้องสูง
ปฐมมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, และพรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ ๑o-๒o
( แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๕,๕o๘,ooo โยชน ์)

อรูปพรหม ๔

(๒๐). เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๒๐ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยความประณีตเป็นอย่างยิ่งมีสัญญาก็ไม่ใช่
ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ อรูปพรหม อายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้ อากิญจัญญายตนฌาน
และสำเร็จเนวสัญญานา- สัญญายตนฌาน


(๑๙). อากิญจัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๙ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์
อรูปพรหม อายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤาษีผู้ได้วิญญาณัญจายตนฌานและสำเร็จอากิญจัญญายตนฌาน


(๑๘). วิญญาณัญจายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๘ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษผู้เกิดจากฌานที่อาศัย
วิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้อากาสานัญจายตนฌาน
และสำเร็จวิญญาณัญจายตนฌาน


(๑๗). อากาสานัญจายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๗ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติ
ซึ่งไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๒๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤาษีผู้ได้จตุตถฌานแล้ว
และสำเร็จอากาสานัญจายตนฌาน

รูปพรหม ๑๖

(๑๖). อกนิฎฐสุทธาวาสภูมิพรหมโลกชั้นที่๑๖ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลายผู้ทรงคุณวิเศษโดย
ไม่มีความเป็นรองกันพระพรหมอนาคามีอายุ๑๖,๐๐๐มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนา
จนสำเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีอินทรีย์แก่กล้า

(๑๕). สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๕ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย
ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่าพระพรหมอนาคามี อายุ ๘,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาน
และเจริญวิปัสสนาจนสำเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีสมาธินทรีย์แก่กล้า

(๑๔). สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๔ ภูมิเป็นที่อยู่อันริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใส
พระพรหมอนาคามี อายุ ๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาน
และเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีสตินทรีย์แก่กล้า

๑๓. อตัปปาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๓ ภูมิเป็นที่อยู่อันบิสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือนร้อน
พระพรหมอนาคามี อายุ ๒,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จ
เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีวิริยินทรีย์แก่กล้า


(๑๒). อวิหาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๒ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย
ผู้ไม่เสื่อมคลายในสมาบัติของตน พระพรหมอนาคามี อายุ ๑,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตฌาน
และเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จ เป็นพระอานาคามีอริยบุคคลโดยมีสัทธินทรีย์แก่กล้า


(๑๑). อสัญญสัตตาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ไม่มีสัญญา(พรหมลูกฟัก)
อายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภานาสำเร็จจตุตถฌาน และเป็นผู้มีสัญญาวิราคภาวนา

(๑๐). เวหัปผลาภูมิ พรหมโลก ชั้นที ๑๐ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์
พระพรหมอายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จจตุตถฌาน


(๙). สุภกิณหาภูมิพรหมโลกชั้นที่๙ภูมิอันป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลายผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีที่ออกสลับปะปนไป
อยู่เู่สมอตลอดสรีระกายพระพรหม อายุ ๖๔ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ ต้องสำเร็จตติยฌานได้อย่างปราณีต


(๘). อัปปมาณสุภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๘ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มีประมาณ
พระพรหม อายุ ๓๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ต้องสำเร็จตติยฌานได้อย่างปานกลาง


(๗). ปริตตสุภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๗ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย
พระพรหมอายุ ๑๖ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จตติยฌานได้อย่างสามัญ


(๖). อาภัสสราภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๖ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีประกายรุ่งโรจน์แหงรัศมีนานาแสง
พระพรหมอายุ ๘ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จทุติยฌานได้อย่างปราณีต


(๕). อัปปมาณาภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๕ ภูมิอันเป็นทีอยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีรุ่งรื่องมากมายหาประมาณมิได้
พระพรหมอายุ ๔ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จทุติยฌานได้อย่างปานกลาง

(๔). ปริตตาภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๔ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งท่านพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน
พระพรหม อายุ ๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ทีจะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ต้องสำเร็จทุติยฌานได้อย่างสามัญ

(๓). มหาพรหมาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๓ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระพรหม อายุ ๑ มหากัป บุพกรรม
ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานอย่างประณีต


(๒). พรหมปุโรหิตาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๒ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ทรงฐานอันประเสริฐ
คือเป็นปุโรหิตของท่านมหาพรหม พระพรหมอายุ ๓๒ อัตรกัป บุพกรรม
ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จได้ปฐมฌานอย่างปานกลาง

(๑). พรหมปาริสัชชาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหม ผู้เป็นท้าวมหาพรหม
พระพรหม อายุ ๒๑ อันตรกัปเศษ บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานได้อย่างสามัญ


โลกเบื้องกลาง
เทวภูมิ ๖ กับ โลกมนุษย์ ๑
( แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๔๒,ooo โยชน์ )

เทวภูมิ ๖

(๖). ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๖) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ แบ่งเป็น
ฝ่ายเทพยาดา มีท้าวปรนิมมิตเทวราชปกครอง กับ ฝ่ายมาร มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์
(๙,๒๑๖ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฏ์
อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ต้องบำเพ็ญกันอย่างจริงๆ มากไปด้วยศรัทธาปสาทะ
อย่างยิ่งยวดและถูกต้อง ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลายแต่กาลก่อน
"แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส
" เพราะวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงยิ่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้

(๕). นิมมานรตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๕) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้ยินดีในกามคุณอารมณ์ ซึ่งเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจ
มีท้าวสุนิมมิตเทวราชปกครอง อายุ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ (๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์
ยินดียิ่งในการบริจาคทานในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ ไม่มุ่งสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทาน ด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากินเราหุงหากินได้
จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า
"เราจักจำแนกแจกทานเช่นเดียวกับฤาษีทังหลายในกาลก่อน ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาดมีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงส่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้

( ๔).
ตุสิตาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๔) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นเป็นนิจ มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง
อายุ ๔,๐๐๐ปีทิพย์ (๕๗๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษยมีจิตบริสุทธิ์ ยินดีมากในการบริจาคทาน ในการให้ทาน
เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลของทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ให้ทานด้วยความคิดว่า
"บิดา มารดา ปู่ ยา ตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี"แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "
เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน
ย่อมเป็นการไม่สมควร ทรงศีล ทรงธรรม ชอบฟังพระธรรมเทศนาหรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก ฯลฯ

(๓). ยามาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๓) เป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้มีแต่ความสุขอันเป็นทิพย์ มีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง
อาย ุ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ (๑๔๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ พยายามสร้างเสบียง ไม่หวั่นไหวในการบำเพ็ญบุญุศล
ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า
"การให้ทานเป็นการกระทำที่ดี" แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี"
รักษาศีล มีจิตขวนขวานในพระธรรม ทำความดีด้วยความจริงใจ

(๒). ตาวติงสาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๒) ที่เราเรียกว่า ไตรตรึงษ์หรือดาวดึงส์ เป็นเมืองใหญ่มี ๑,๐๐๐ ประตู มีพระเกศจุฬามณีเจดีย์
มีไม้ทิพย์ ชื่อปาริชาตกัลปพฤกษ์ สมเด็จพระอมรินทราธิราชปกครอง อายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ (๓๒ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ ยินดีในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมการให้ทานไม่ได้ใ้ห้ทานด้วยความคิดว่า "ตายแล้วเราจักได้เสวยผลทานนี้"
"แต่ให้ทานด้วยด้วยความคิดว่า "การให้ทานเป็นการกระทำดี"งดงามด้วยพยายามรักษาศีล ไม่ดูหมิ่นดูแคลนผู้ใหญ่ในตระกูล ฯลฯ

(๑). จาตุมหาราชิกาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๑) เป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า มีท้าวมหาราช ๔ พระองค์ปกครองคือ
-๑.ท้าวธตรัฐมหาราช - ๓.ท้าววิรูปักษ์มหาราช และ
-๒.ท้าววิรุฬหกมหาราช - ๔. ท้าวเวสสุวัณมหาราช (ท้าวกุเวร)อายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ (๙ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์ ชอบทำความดี สันโดษ ยินดีแต่ของๆตน ชักชวนให้ผู้อื่น
ประกอบการกุศล ชอบให้ทาน ในการให้ทานเป็นผู้มีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยความคิดว่า "เราจะตายแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้" และเป็นผู้มีศีล ฯลฯ

โลกมนุษย์

( อายุมนุษย์สมัยพระพุทธองค์ ๑๐๐ ปี และอายุมนุษย์ในปัจจุบัน ๗๕ ปี )
( มนุษยภูมิ ) เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจในเชิงกล้าหาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ
ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมแบ่งเป็น ๔ จำพวก คือ

(๑). ผู้มืดมาแล้วมืดไป บุคคลที่เกิดในตระกูลอันต่ำ ยากจน ขัดสน ลำบาก ฝืดเคืองอย่างมากในการหาลี้ยงชีพ มีปัจจัย ๔ อย่างหยาบ
เช่น มีอาหารและน้ำน้อย มีเครื่องนุ่งห่มเก่า ร่างกายมอซอ หม่นหมอง หรือมีร่างกายไม่สมประกอบ บ้าใบ้ บอด หนวก หาที่นอน ทีอยู่อาศัย ยารักษาโรค ไม่ใคร่ได้ และเขากลับประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย

(๒). ผู้มืดมาแล้วสว่างไป บุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ผิวพรรณหยาบ ฯลฯ แต่เป็นเขาเป็นคนมีศรัทธา ไม่มีความตะหนี่
เป็นคนมีความดำริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมให้ทาน ย่อมลุกรับสมณะชีพราหมณ์ หรือวณิกพกอื่นๆ
ย่อมสำเนียกในกริยามารยาทเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลังจะให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

(๓). ผู้สว่างมาแล้วมืดไป เป็นบุคคลผู้อุบัติในตระกูลสูง เป็นคนมั่งคั่งมั่งมี มีโภคสมับัติมาก เป็นผู้มีปัจจัย ๔ อันประณีต
ทั้งเป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วนสะสวย งดงาม ผิวพรรณดูน่าชม แต่กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา ตระหนี่
ไม่มีความเอื้อเฟื้อกรุณาอาทร มีใจหยาบช้า มักขึ้งโกรธย่อมด่า ย่อมบริภาษบุคคลต่างๆ ไม่เว้นกระทั้งมารดาบิดา สมณชีพราหมณ์
ย่อมห้ามคนที่กำลังให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย

(๔). ผู้สว่างมาแล้วสว่างไป เป็นบุคคลที่อุบัติเกิดในตระกูลสูง มีผิวพรรณงามและเขาย่อมประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุพกรรม กรรมของมนุษย์ที่ทำในกาลก่อน ส่งผลให้มีปฎิปทาต่างกัน เช่น
บางคนเป็นคนดี บางคนบ้า บางคนรวย บางคนจน บางคนมีปัญญา บางคนเขลา ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ อาทิ

- ปฎิปทาให้มีอายุสั้น เพราะเป็นคนเหี้ยมโหดดุร้าย มักคร่าชีวิตสัตว์

- ปฎิปทาให้มีอายุยาว เป็นผู้เว้นขาดจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
มีความละอายเอ็นดูอนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลสรรพสัตว์ และภูตอยู่


- ปฎิปทามีโรคมาก เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ ท่อนไม้ ก้อนดิน ก้อนหิน หรือศาสตราอาวุธต่างๆ

- ปฎิปทามีโรคน้อย ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ หรือศาสตราอาวุธต่างๆ มีมีด ขวาน ดาบ ปืน เป็นต้น

- ปฎิปทาให้มีผิวพรรณทราม เป็นคนมักโกรธ มากไปด้วยความเคืองแค้น ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจโกรธเคือง
พยาบาทหมาดร้าย ทำความโกรธความร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฎ

- ปฎิปทาให้มีผิวพรรณงาม เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำความโกรธความร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฎ

- ปฎิปทาให้เป็นคนมีศักดาน้อย คือเป็นคนไม่มีใจริษยา มุ่งร้าย ผูกใจในการอิจฉาริษยาในลาภสักการะ ความเคารพ
ความนับถือการไหว้และการบูชาของคนอื่น

- ปฎิปทาให้เป็นคนมีศักดามาก เป็นคนไม่มีใจริษยา ไม่มุ่งร้าย ยินดีด้วยในลาภสักการะ ความเคารพ
ความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น

- ปฎิปทาให้มีโภคะน้อย เป็นผู้ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอนที่อาศัย เป็นต้น

- ปฎิปทาให้มีโภคะมาก ชอบให้ทานมีอาหาร น้ำ เครื่องนุ่มห่ม ของหอม ที่นอนที่อาศัย
เครื่องตามประทีบแก่สมณะหรือชีพราหมณ์ เป็นต้น

- ปฎิปทาให้เกิดในตระกูลต่ำ เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ
ไม่ให้อาสนะแก่คนที่ควรให้ไม่ให้ทางแก่คนที่ควรให้ทาง เป็นต้น

- ปฎิปทาให้เกิดในตระกูลสูง เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน วจีไพเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟื้อ รู้จักยืนเคารพ ยืนรับ ยืนคำนับ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่
สักการะแก่คนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา เป็นต้น

- ปฎิปทาทำให้มีปัญญาทราม คือเป็นผู้ไม่เคยเข้าหาบัณฑิต สมณะหรือชีพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล
อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ เป็นต้น

- ปฎิปทาทำให้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มักเข้าไปสอบถาม บัณฑิตสมณะหรือชีพราหมณ์ อะไรเป็นุศล อะไรไม่เป็นกุศล อะไรมีโทษ
อะไรไม่มีโทษ อะไรเมื่อทำลงไปแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนานอะไรเมื่อทำไป
แล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ดังนี้


โลกเบื้องต่ำ
อบายภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุูรกาย เดรัจฉาน

เดรัจฉานภูมิ

เดรัจฉานภูมิ ) (โลกเดรัจฉานอยู่ในโลกมนุษย์) โลกของสัตว์ที่มีความยินดีในหตุ ๓ ประการ คือ
(การกิน การนอน การสืบพันธุ์) แบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ

(๑). อปทติรัจฉาน (ไม่มีเท้า ไม่มีขา) เช่นงู ปลา ไส้เดือน ฯลฯ

(๒). ทวิปทติรัจฉาน (มี ๒ ขา) เช่น นก ไก่ ฯลฯ

(๓). จตุปทติรัจฉาน (มี ๔ ขา) เช่น วัว ฯลฯ

(๔). พหุปทติรัจฉาน (มีมากกว่า ๔ ขา) เช่น ตะขาบ กิ่งกือ ฯลฯ

อายุ ไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมที่นำไปเกิดในสัตว์ประเภทต่างๆ ตามอายุของสัตว์ประเภทนั้นๆ
บุพกรรม เป็นมนุษย์จิตไม่บริสุทธิ์ ประพฤติอศุลกรรม อันหยาบช้าลามกทั้งหลายหรือเพราะอำนาจของเศษบาปอกุศลกรรมที่ตนทำไว้
ให้ผล หรือเป็นเพราะเมื่อเป็นมนุษย์ไม่ได้ก่อกรรมทำชั่วอะไร แต่เวลาใกล้จะตายจิตประกอบด้วยโมหะ หลงผิด ขาดสติ
ไม่มีสรณะเป็นที่พึ่งจะยึดให้มั่นคงคตินิมิต นิมิตที่ชี้บอกถึงโลกดรัจฉานที่ตนจะไป เช่น เห็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดงหญ้า เชิงเขา ชายน้ำ
แม่น้ำ กอไผ่ เป็นต้น บางทีเห็นเป็นรูปสัตว์ทั้งหลาย เช่น ช้าง เสือ วัว หมู หมา เป็ด ไก่ แร้ง กา เหี้ย นก หนู จิ๊กจก ฯลฯ
หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจแล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์มื่อจิตดับตายขณะนั้นต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน

อสุรกายภูมิ

( อสุรกายภูมิ ) (โลกอสุรกาย) ภูมิอันเป็นทีอยู่ของสัตว์อันปราศจากความเป็นอิสระและสนุกรื่นเริง
แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ เทวอสุรา เปตติอสุรา นิรยอสุรา

(๑). เทวอสุรา มี ๖ จำพวก คือ ๑.เวปจิตติอสุรา ๔.ปหารอสุรา

(๒). สุพลิอสุรา ๕.สัมพรตีอสุรา

(๓). ราหุอสุรา ๖.วินิปาติกอสุรา

แล้ว ๕ จำพวกแรกเป็นปฎิปักษ์ต่อเทวดาชั้นตาวสิงสา อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดาชั้นตาวติงสา
ส่วนวินิปาติกอสุรา มีรูปร่างสัณฐานเล็กกว่า และอำนาจก็น้อยกว่าเทวดาชั้นตาวติงสา เที่ยวอาศัยอยู่ในมนุษยโลกทั่วไป
เช่น ตามป่า ตามเขา ต้นไม้ และศาลที่เขาปลูกไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของภุมมัฎฐเทวดาทั้งหลาย
แต่เป็นเพียงบริวารของภุมมัฎฐเทวดาเท่านั้น สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดา ชั้นจาตุมหาราชิกา
๒.เปตติอสุรา มี ๓ จำพวก คือ ๑.กาลกัญจิกเปรตอสุรา ๒.เวมานิกเปรตอสุรา ๓.อาวุธิกเปรตอสุรา
เป็นเปรตที่ประหัตประหารกันและกันด้วยอาวุธต่างๆ
๓.นิรยอสุรา เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกโลกันตร์ นรกโลกันตร์ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสามอสุรกายนี้
ี้หมายเอาเฉพาะกาลกัญจิกเปรตอสุรกายเท่านั้น อายุและบุพกรรม เช่นเดียวกันกับโลกเปรต


เปตติวิสยภูมิ

( เปตติวิสยภูมิ ) (โลกเปรต) โลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข
มีมหิทธิกเปรตเป็นเจ้าปกครองดูแลอายุไม่แน่นอนแล้วแต่กรรม ได้แก่

เปรต ๑๒ ชนิด เปรต ๑๒ ชนิด คือ

(๑). วันตาสเปรต กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร

(๒). กุณปาสเปรต กินซากศพคน หรือสัตว์เป็นอาหาร

(๓). คูถขาทกเปรต กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร

(๔). อัคคิชาลมุขเปรต มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ

(๕). สูจิมุขาเปรต มีปากเท่ารูเข็ม

(๖). ตัณหัฎฎิตเปรต ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าว หิวน้ำอยู่เสมอ

(๗). สุนิชฌามกเปรต มีลำตัวดำเหมือนตอไม้เผา

(๘). สัตถังคเปรต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด

(๙). ปัพพตังคเปรต มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา

(๑๐). อชครังคเปรต มีร่างกายเหมือนงูเหลือม

(๑๑).
เวมานิกเปรต ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน

(๑๒). มหิทธิกเปรต มีฤทธิ์มาก ที่อยู่ เชิงเขาหิมาลัยในป่าวิชฌาฎวี

เปรต ๔ ประเภท เปรต ๔ ประเภท คือ

(๑).
ปรทัตตุปชีวิกเปรต มีการเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยโดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้

(๒). ขุปปิปาสิกเปรต ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าว หิวน้ำ

(๓). นิชฌามตัณหิกเปรต ถูกไฟเผาให้เร้าร้อนอยู่เสมอ

(๔). กาลกัญจิกเปรต (ชื่อของอสูรกายที่เป็นเปรต) มีร่างกายสูง ๓ คาวุต มีเลือดและเนื้อน้อยไม่มีแรง
มีสีสันคล้ายใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนตาปู และมีปากเท่ารูเข็มและตั้งอยู่กลางศีรษะ

เปรต ๒๑ จำพวก เปรต ๒๑ จำพวก คือ

(๑). มังสเปสิกเปรต มีเนื้อเป็นชิ้นๆไม่มีกระดูก

(๒). กุมภัณฑ์เปรต มีอัณฑะใหญ่โตมาก

(๓). นิจฉวิตกเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง

(๔). ทุคคันธเปรต มีกลิ่นเหม็นเน่า

(๕). อสีสเปรต ไม่มีศีรษะ

(๖). ภิกขุเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนพระ

(๗). สามเณรเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนเณรและ ฯลฯ

บุพกรรม ประพฤติอศุลกรรมบถ ๑๐ ประการ เมื่อขาดใจตายจากมนุษยโลก หากอศุลกรรมสามารถนำไปสู่นิรยภูมิได้
ต้องไปเสวยทุกข์โทษในนรกก่อน พอสิ้นกรรมพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีก็ไปเสวยผลกรรมเป็นเปรตต่อภายหลัง
หรือมีอศุลกรรมที่เกิดจากโลภะนำมาเกิดคตินิมิต นิมิตที่บ่งบอกถึงโลกเปรต เช่น เห็นหุบเขา ถ้ำอันมืดมิดที่วังเวง
และปลอดเปลี่ยวหรือเห็นเป็นแกลบ และข้าวลีบมากมายแล้วรู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำเป็นกำลัง
บางทีเห็นว่าตนดื่มกินเลือดน้ำหนองที่น่ารังเกียจสะอิดสะเอียน
หรือเห็นเป็นเปรตมีร่างกายผ่ายผอมน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรกรุงรัง ฯลฯ
หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจแล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตตายขณะนั้น ต้องบังเกิด
เป็นเปรตเสวยทุกขเวทนาตามสมควรแก่กรรมอย่างแน่นอน

นรกภูมิ

( มหานรก ๘ ขุม ) (แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์)

(๑). สัญชีวนรก นรกที่สัตว์นรกไม่มีวันตาย อายุ ๕๐๐ ปีอายุกัป (๑วันนรก = ๙ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตไม่บริสุทธิ์
หยาบช้าลามก ก่อกรรมทำเข็ญ เช่นฆ่าเนื้อ เบื่อสัตว์ เบียดเบียนบุคคลที่ต่ำกว่าตน
โดยความไม่เป็นธรรมให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นนิจ ฯลฯ

(๒). กาฬสุตตนรก นรกที่ลงโทษด้วยเส้นเชื่อกดำ แล้วถากหรือตัดด้วยเครื่องประหาร อายุ ๑,๐๐๐ ปีอายุกัป
(๑ วันนรก = ๓๖ ปีล้านมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป
ทำการทรมานสัตว์ด้วยการตัดเท้า หู ปาก จมูก ฯลฯ ทำร้ายบิดามารดา ครู อาจารย์ ฯลฯ
เบียดเบียนหรือฆ่าภิกษุ สามเณร ดาบส หรือเป็นเพชฌฆาต

(๓). สังฆาฎนรก นรกที่มีภูขาเหล็กใหญ่มีไฟลุกโพลงบดขยี้สัตว์นรก อายุ ๒,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหยาบช้าด้วยใจอศุลกรรม ไร้ความเมตตากรุณา ทำทารุณกรรมสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นประจำ หรือ บุคคล
ที่ทรมานเบียดเบียนสัตว์ที่ตนใช้ประโยชน์ และพวกนายพราน

(๔). โรรุวนนรก (ธูมโวรุวหรือจูฬโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังของสัตว์นรกที่ถูกควันไฟอบอ้าว อายุ ๔,๐๐๐ ปี
อายุกัป ( ๑วันนรก = ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปเผาสัตว์ทั้งเป็น ตัดสินความไม่ยุติธรรม รุกที่ดิน
เอาสาธารณสมบัติมาเป็นของตน กินเหล้าเมาประทุษร้ายผู้อื่น ชาวประมง คนที่เผาป่าที่สัตว์อาศัยอยู่

(๕). มหาโรรุวนรก (ชาลโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังกว่าโรรุวนรก อายุ ๘,๐๐๐ ปีอายุกัป
(๑ วันนรก = ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ตัดคอสัตว์ด้วยความโกรธ ปล้น ขโมยทรัพย์สมบัติของพ่อแม่
ครูบาอาจารย์และของศาสนาเช่นของภิกษุสามเณรดาบสแม่ชี
และสิ่งของเครื่องสักการะที่เขาบูชาพระรัตนตรัยปล้นโกงเอาของคนอื่นมาเป็นของตน

(๖). ตาปนนรก (จูฬตาปน) นรกที่ทำให้สัตว์เร่าร้อน ด้วยการให้นั่งตรึงติดอยู่ในหลาวเหล็กอันร้อนแดงแล้วให้ไฟไหม้อยู่
อายุ ๑๖,๐๐๐ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาป ประกอบกรรมด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
เช่น ฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพและคนที่เผาบ้านเมือง กุฎิ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ปราสาท ทำลายเจดีย์

(๗). มหาตาปนนรก (ปตาปน) นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ อายุ ครึ่งอันตรกัปของมนุษย์ บุพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหนาไปด้วยอกุศลมลทิน เช่น ประหารคนหรือสัตว์ให้ตายเป็นหมู่มากๆ ไม่คำนึงถึงชีวิตเขาชีวิตท่าน
และคนที่มีอุจเฉททิฎฐิ สัสสตทิฎฐิ นัตถิกทิฎฐิ อเหตุทิฎฐิ และอกิริยทิฎฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง

(๘). อเวจีนรก นรกที่ปราศจากคลื่นคือ ความเบาบางแห่งความทุกข์ อายุ ประมาณ ๑ อันตรกัปของมนุษย์ บุพกรรม
เมื่อเป็นมนุษย์ได้ทำอนันตริยกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ฆ่ามารดา บิดา พระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
ทำสังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกกัน และบุคคลที่ทำลายพระพุทธเจดีย์ พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้โดยจิตคิด
ประทุษร้ายบุคคลที่ติเตียนพระอริย บุคคลพระสงฆ์ผู้มีคุณแก่ตน ผู้ที่ยึดถือนิยตมิจฉาทิฎฐิ ๓

( อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม ) (อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๔ ของมหานรกแต่ละขุม)

(๑). คูถนรก สัตว์นรกทีมาเกิดได้รับทุกขเวทนาอยู่ในอุจจาระเน่า
โดยถูกหนอนกัดกินทั้งเนื้อและกระดูกตลอดจนอวัยวะภายในทั้งหมดจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

(๒). กุกกุฬนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกขเวทนา โดยถูกเผาด้วยขี้เถ้าร้อนระอุ ร่างกายไหม้ยับย่อย ละเอียดเป็นจุณ
จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

(๓). สิมปลิวนนรก สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีเศษอศุลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้วก็ยังไม่หลุดพ้น
ยังต้องเสวยทุกข์จากนรกป่าไม้งิ้วต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

(๔). อสิปัตตวนนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกข์จากป่าไม้ใบดาบ เช่น ใบมะม่วงซึ่งกลายเป็นหอกดาบ
และมีสุนัขแร้งคอยทรมานขบกัดกินเลือดเนื้อ จนกว่าจะสิ้นกรรม

(๕). เวตรณีนรก สัตว์นรกที่เกิดมาได้รับทุกข์จากน้ำเค็มแสบที่มีเครือหวายหนามหล็ก ใบกลีบบัวหลวงเหล็กตั้งอยู่กลางน้ำ
ซึ่งคมเป็นกรด มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

( ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม ) ( อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม )

(๑). โลหกุมภีนรก เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา
สัตว์ที่มาเกิดต้องได้รับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสถูกต้มเคี่ยวในหม้อเหล็กนรกนั้น
จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้ทำมาบุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆมาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร

(๒). สิมพลีนรก เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี
ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ทรมานจนสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเพณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น
หญิงเป็นชู้สามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่น มักมากในกามคุณ

(๓). อสินขะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว
กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้ เหมือนคนบ้าวิกลจริตบ้างนั่ง บ้างยืน
เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม เช่น เมื่อมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของทีเขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

(๔). ตามโพทะนรก มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์
โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดงและกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม
ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆเป็นคนใจอ่อนมัวเมาประมาท ดื่มสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นเนืองนิจ

(๕). อโยคุฬะนรก เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร
เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม เช่น แสดงว่าตนเป็นคนใจบุญใจกุศล
เรี่ยไรทรัพย์ว่าจะนำไปทำบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทำบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน
การกุศลก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้หลอกลวงผู้อื่น

(๖). ปิสสกปัพพตะนรก มีภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลื่อนที่ได้ไม่หยดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียด
จนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนสิ้นกรรมของตน บุพกรรม เช่น เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง
ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราฎร ทำร้ายร่างกาย เอาทรัพย์เขามาให้เกินพิกัดอัตราที่กฏหมายกำหนด
ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย

(๗). ธุสะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดที่ดื่มกินเข้าไปอำนาจของกรรมบันดาลให้น้ำนั้น
กลายเป็นแกลบเป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้
เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทำมา บุพกรรม เช่น คดโกงไม่มี ความซื่อสัตย์
ปนปลอมแปลงอาหารและเครื่องใช้แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ

(๘). สีตโลสิตะนรก เต็มไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกเรื่อยไป
จนสิ้นกรรมชั่วของตนบุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆ
ทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์และตายเพราะน้ำ

(๙). สุนขะนรก เต็มไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ พวกคือ หมานรกดำ หมานรกขาว หมานรกเหลือง หมานรกแดง หมานรกต่างๆ
และยัง มีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกสุนัข แร้งกา ไล่ขบกัดตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจาก
ผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต บุพกรรม คือ ด่าว่าบิดามารดา ปู่ยาตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า
ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร

(๑๐). ยันตปาสาณะนรก มีภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทก
ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน บุพกรรม เช่น
เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้าด่าตีคู่ครองด้วยความโกรธแล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ




โลกันตร์

( โลกันตร์นรก ๑ ขุม )

โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่ อยู่นอกจักรวาล มืดมนไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไรเลยและเต็มไปด้วยทะเลน้ำกรดเย็น
ที่ตั้ง อยู่ระหว่างโลกจักรวาล ๓ โลก เหมือนกับวงกลม ๓ วงติดกัน คือ
บริเวรช่องว่างของวงทั้ง ๓ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องได้รับทุกขเวทนาเป็นเวลา
๑ พุทธันดร จากผลกรรมชั่ว เช่น ทรมานประทุษร้ายต่อบิดามารดา และผู้ทรงศีล ทรงธรรมหรือปาณาติบาตเป็นอาจิณ
ฆ่าตัวตาย เป็นต้น

 


( โลกนรกประกอบด้วย )
มหานรก ๘ ขุม
อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม
ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
โลกันตร์นรก ๑ ขุม
รวม ๔๕๗ ขุม

 


วัดธรรมบารมี เมืองดอร์ทมุนด
กลับไปสู่หน้าเมนู