ปางที่ ๓๒
ปางแสดงยมกปาฏิหาริย์
ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้
อยู่ในพระอิริยาบถนั่งบนบัลลังก์ ห้อยพระบาททั้งสองแบบนั่งเก้าอี้ ที่พระบาทมีดอกบัวรองรับ
พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ จีบนิ้วพระหัตถ์ เป็นกิริยาแสดงธรรม
พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้
เมื่อพระบรมศาสดาทรงได้ไม้คัณฑาพฤกษ์อันสมบูรณ์ด้วยกิ่งใบสูงใหญ่งามด้วยปริมณฑล
สมดังพระประสงค์เช่นนั้น ก็ทรงตั้งพระทัยจะทรงทำปาฏิหาริย์สืบไป ครั้นเวลาบ่ายแห่งวันเพ็ญ
อาสาฬหมาส (กลางเดือน ๘) ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่ทรงให้นายคัณฑะปลูกต้นมะม่วง
อันมีนามนิยมว่า ต้นคัณฑามพฤกษ์นั้น พระบรมศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ประทับยืนอยู่ที่มุข
ท่ามกลางพุทธบริษัทซึ่งมาสโมสรกันกันเนืองแน่น โดยใคร่จะชมปาฏิหาริย์จึงทรงนิรมิตรจงกรมแก้ว
กว้างใหญ่ เหนือยอดไม้คัณฑามพฤกษ์ไพศาล งามตระการวิจิตรด้วยสัตตรตโนภาศ ควรแก่ความเป็น
พุทธอาสน์ที่ประทับสำหรับแสดงปาฏิหาริย์ ของสมเด็จพระพิชิตมารอย่างหาเสมอเหมือนมิได้
แล้วสมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ ก็เสด็จลีลาศขึ้นประทับนั่งยังจงกรมแก้วมโหฬาร
ทรงกระทำปาฏิหาริย์ให้บังเกิด
ท่อไฟพุ่งออกจากทางพระกายเบื้องบน สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องล่าง
และท่อไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องหลัง สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้า เป็นคู่ ๑
ท่อไฟออกจากพระกายเบื้องหน้า สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องหลัง และท่อไฟออกจากพระกาย
เบื้องหลัง สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้า เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระเนตรข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระเนตรข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจาก
พระเนตรข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระเนตรข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระกรรณข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระกรรณข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจาก
พระกรรณข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระกรรณข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากช่องพระนาสิกข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากช่องพระนาสิกข้างซ้าย และท่อไฟพุ่ง
ออกจากช่องพระนาสิกข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากช่องพระนาสิกข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากจงอยพระอังศะข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากจงอยพระอังศะข้างซ้าย และท่อไฟพุ่ง
ออกจากจงอยพระอังศะข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากจงอยพระอังศะข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจาก
พระหัตถ์ข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระปรัศว์ เบื้องขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจาก
พระปรัศว์เบื้องขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจาก
พระปรัศว์เบื้องซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจาก
นิ้วพระหัตถ์ข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระโลมาเส้นหนึ่ง สายน้ำพุ่งออกจากพระโลมาเส้นหนึ่ง เป็นคู่ๆ สลับกันไปทั่งพระกาย
เมื่อท่อไฟพุ่งออกมาแล้วก็สำแดงเป็นสีสัณฐ์ต่างๆ สลับกันรวม ๖ สี คือ สีเขียว เหลือง แดง ขาว หงสบาท
และปภัศร
เมื่อสีออกจากเแสงไฟ ซึ่งพุ่งออกมากระทบสายน้ำ ก็สายน้ำให้น้ำมีสีต่างๆ ไปตามสีไฟ สลับกันไปมางาม
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งท่อไฟสายน้ำที่พุ่งออกก็พุ่งออกไปไกล ทำให้ท้องฟ้าอากาษสว่างไสวให้มหาชน
ทั้งหลายมองเห็นทั่วทุกทิศ เป็นที่จำเริญจิตแก่ผู้ได้เห็นทั่วโลกธาตุ ต่อนั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ ก็ทรง
นิรมิตรพระพุทธเจ้าขึ้นพระองค์หนึ่ง ให้มีพระรูปพระโฉมคล้ายกับพระองค์ทุกประการ และโปรดให้พระพุทธ
นิรมิตรพระองค์นั้นแสดงพระอาการสลับกันไปกับพระองค์โดยตลอด คือ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรม พระพุทธนิรมิตรก็เสด็จประทับยืนเมื่อพระพุทธนิรมิตรเสด็จจงกรม
พระผู้มีพระภาคก็ประทับยืน เป็นคู่ ๑
เมื่อผู้มีพระภาคประทับนั่ง พระพุทธนิรมิตร ก็สำเร็จสีหไสยา (นอนตะแคงข้างขวา)
เมื่อพระพุทธนิรมิตรเสด็จประทับนั่ง พระผู้มีพระภาค ก็สำเร็จสีหไสยา เป็นคู่ ๑
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตั้งปัญหาถาม พระพุทธนิรมิตรก็ตรัสแก้ เมื่อพระพุทธนิรมิตรตรัสถาม
พระผู้มีพระภาคก็ตรัสแก้ เป็นคู่ ๑
รวมพระอาการที่ทรงแสดงก็ดี อาการที่ทรงถามและทรงแก้ก็ดี ได้ปรากฏแก่มหาชนที่มาประชุมกัน
ชมอยู่ได้เห็นได้ยินกันทั่งถึง เป็นที่เจริญใจเจริญความเลื่อมใสศรัทธาปสาทะยิ่งนัก
ในที่สุดแห่งยมกปาฏิหาริย์ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่พุทธบริษัทเพราะได้เห็นและได้
ฟังธรรมเทศนา
เป็นเอนก .
จบตำนานพระพุทธรูป ปางแสดงยมกปาฏิหาริย์ แต่เพียงนี้ .