ปางที่ ๒o
ปางปฐมเทศนา หรือ ปางแสดงธรรมจักร

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

อยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวายกขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์เป็นวงกลม เป็นกิริยาแสดงธรรม
พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นประคอง ลางแห่งทำแบบวางพระหัตถ์ซ้ายบนพระเพลาบ้างยกขึ้นถือชายจีวรบ้าง
ลางแห่งทำแบบนั่งห้อยพระบาทก็มี

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงมั่นพระทัยในอันจะแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์แล้ว ก็ทรงรำพึงพิจารณา
หาบุคคลผู้สมควรที่พระองค์จะทรงแสดงธรรมโปรดในชั้นต้นทรงมุ่งหาเฉพาะผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า
ควรจะรับพระธรรมเทศนาเท่านั้น ฉะนั้นจึงทรงเลือกสรรในหมู่บรรพชิตก่อน เพราะอนาคาริยะบุคคล
คือผู้เสียสละเคหสถานตลอดทรัพย์สมบัติออกมาบำเพ็ญพรตอยู่แล้ว เป็นผู้มีกายวิเวก และมีจิตวิเวก
เป็นสมุฏฐานอยู่ ควรจะสดับธรรมเพื่อผลเบื้องสูงขึ้นไป จึงทรงระลึกถึง อาฬารดาบสกาลามโคตร
และอุทกดาบสรามบุตร ซึ่งพระองค์เคยเสด็จไปทรงศึกษาสมาบัติอยู่ในสำนักของท่านอาจารย์
ทั้งสองด้วยทรงเห็นว่ามีอุปนิสัยดีสมควรจะได้ธรรมพิเศษ แต่แล้วก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่า
ดาบสทั้งสองได้สิ้นชีวิตเสียแล้วเมื่อก่อน วันนี้

ต่อจากนั้นจึงทรงระลึกถึงพระปัญจวัคคีย์ิภิกษุทั้ง รูป
คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ที่เคยปฏิบัติบำรุงพระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญ
ทุกกรกิริยาอยู่ ครั้นพระองค์ทรงเลิกทุกกรกิริยา ด้วยทรงเห็นว่ามิใช่ทางตรัสรู้ ทรงปฏิบัติในทางจิต
ตามมัชฌิมาปฏิปทา จึงภิกษุทั้ง นี้ ไม่เลื่อมใส เห็นว่าพระองค์คลายความเพียร
เวียนมาเป็นคนมักมากแล้วไม่มีทางสำเร็จได้จึงได้ชวนกันทอดทิ้งพระองค์
และหนีไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงเห็นว่าพระปัญจวัคคีย์มีอินทรีย์แก่กล้าสมควรจะได้ธรรม
วิเศษแล้ว จึงทรงพระมหากรุณาเสด็จดำเนินจากโพธิมณฑล ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นที่อยู่ของพระปัญจวัคคีย์ภิกษุ ในเวลาเย็นของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ
เดือน ก็เสด็จถึงสำนักพระปัญจวัคคีย์ดังพระพุทธประสงค์

ในระยะแรกปัญจวัคคีย์ภิกษุไม่ยอมเชื่อว่า พระบรมศาสดาได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ถึงแก่ใช้วาจาไม่สมควรแย้งพระผู้มีพระภาคว่า เมื่อพระองค์คลายความเพียรเวียนมาเป็นผู้มักมาก
แล้ว อย่างไรพระองค์จะได้ตรัสรู้ เพราะพระปัญจวัคคีย์ถือมั่นอยู่ในความรู้ความเห็นของตนว่า
ทุกกรกิริยาเท่านั้นที่เป็นทางจะให้ผู้ปฏิบัติตรัสรู้ธรรมวิเศษได้

พระบรมศาสดาต้องตรัสเตือนพระปัญจวัคคีย์ ให้หวนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งอยู่ปฏิบัติบำรุง
พระองค์อยู่เป็นเวลานานว่า ปัญจวัคคีย์ เคยได้ยินวาจาของพระองค์รับสั่งว่า ได้ตรัสรู้แล้วอยู่บ้างหรือ ?
แม้วาจาอื่นใดอันไม่เป็นความจริงที่พระองค์เคยรับสั่งเล่น ยังเคยได้ยินอยู่บ้างหรือ ?
เมื่อพระปัญจวัคคีย์ได้ใคร่ครวญตามพระกระแสรับสั่งเตือน จึงได้เห็นจริงตามพระวาจา และปลงใจ
เชื่อว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ แล้วพร้อมกันถวายความเคารพ
คอยสดับพระโอวาทอยู่ตลอดเวลา

ครั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน พระผู้มีพระภาคจึงแสดงธรรม "ธัมจักกัปปวัตตนสูตร"
อันเป็น "ปฐมเทศนา" โปรดพระปัญจวัคคีย์ภิกษุประกาศความตรัสรู้ของพระองค์ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย กามสุขขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยความสุขในกาม
ทั้งสองนี้ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ บรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนมัชฌิมาปฏิปทา
ข้อปฏิบัติเป็นทางกลาง ที่เราตรัสรู้แล้ว เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความรู้ดี เพื่อนิพพาน คือสิ้นตัณหาเครื่องรัดรึง เป็นธรรมที่บรรพชิตควรดำเนิน
ด้วยเป็นทางทำผู้ดำเนินให้เป็นพระอริยะ"

ทางสายกลาง

มัชฌิมาปฏิปทานั้น ได้แก่ทางมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฎฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑
สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ ๑ สัมมาวาจา วาจาชอบ ๑
สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ๑ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ๑
สัมมาวายะมะ ความชอบ ๑ สัมมาสติ ระลึกชอบ ๑
สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ ๑

มัชฌิมาปฏิปทานี้แล เราได้ตรัสรู้แล้ว ทำให้เกิดดวงตา คือ
ปรีชาญาณ เห็นแจ้งแทงตลอดซึ่งเญยยธรรมทั้งปวงเป็นไปเพื่อความสงบระงับ
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อนิพพาน พร้อมกับทรงประกาศสัจจธรรมทั้ง ๔ ประการ
คือ ทุกขสัจจะ สมุทยสัจจะ นิโรธสัจจะ และ มัคคสัจจะ
โดยเทสนาบรรหารจำแนกยถาภูตทัศนญานด้วยอาการ ๑๒ บรรจบครบบริบูรณ์
เมื่อจบปฐมเทศนา โกณฑัญญภิกขุ ได้ธรรมจักษุ บรรลุโสดาปัตติผล
เป็นพระสาวกชั้นพระอริยบุคคลองค์แรกในพระพุทธศาสนา .

พระพุทธจริยา ที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาแสดงปฐมเทศนาครั้งนี้
เท่ากับประกาศความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โลกรู้แจ้งชัด ด้วยพระปรีชาญาน
อันหาผู้เสมอมิได้ ได้พระโกณฑัญญะเป็นสักขีพยานในการตรัสรู้ของพระองค์
เป็นนิมิตรอันดี ในการที่พระองค์จะประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองในโลกสืบไป
ข้อนี้เป็นเหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปปางนี้ เรียกว่า "ปางปฐมเทศนา" หรือ "ปางแสดงธรรมจักร"

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางปฐมเทศนา หรือ ปางแสดงธรรมจักร แต่เพียงนี้ .