ลักษณะของพระพุทธรูป

อยู่ในพระอิริยาบถยืนพระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระกายตามปกติ
พระหัตถ์หัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระแบฝ่าพระหัตถ์ตั้งขึ้นยืนออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาห้าม

 

มีประวัติและตำนานดังนี้

ครั้งหนึ่ง พระนครไพศาลี  แห่งแคว้นวัชชี เกิดทุพภิกขภัยพิบัติ คือ ฝนแล้ง ข้าวกล้าในนาตาย
เพราะไม่มีน้ำเป็นส่วนมาก ข้าวปลาหายากในชั้นแรกคนยากจน คนเกียจคร้าน ต้องอดอาหารตายมาก
เมื่อตายแล้วหาญาติที่จะอนุเคราะห์ศพไม่มี คนมีกำลังก็ไม่มีความสงสารศพมัววุ่นแต่งานของตัว
เห็นไปว่า ธุระไม่ใช่ ไม่ใส่ใจ ตกลงคนตายที่ไหน ศพก็ทอดทิ้งอยู่ที่นั่น ยิ่งกว่านั้นอหิวาตกโรคก็เข้าคุกคาม
เพราะโทษที่ศพปฏิกูลในถนนหนทางในแม่น้ำลำคลอง เพราะความสกปรกนานัปการดังกล่าวแล้ว
มนุษย์ได้ตายลงเพราะอหิวาตกโรคเป็นอันมาก ครั้นเมื่อภาคพื้นปฏิกูลด้วยศพมากเข้า
ปีศาจจำพวกที่กินซากศพเป็นอาหาร ก็พากันเข้าพระนคร กินซากศพ ยิ่งกว่านั้นยังหันเข้าใส่คนป่วยไข้
ชิมรสเนื้อมนุษย์ที่ยังไม่เปื่อยเน่าดูบ้าง และแล้วก็เลยลามไปถึงมนุษย์ที่ไม่ป่วย แต่สกปรก
เช่น ตื่นไม่ล้างหน้า นอนไม่ล้างเท้า น้ำไม่อาบ กินข้าวแล้วไม่บ้วนปาก ผ้าผ่อนไม่ซัก
และบ้านเรือนไม่กวาดถู เป็นต้น ในที่สุดมนุษย์ที่ไม่ป่วยแต่สกปรก
ก็เริ่มถูกปีศาจเข้าสิงสู่ดูดโลหิตเป็นอาหาร มนุษย์เริ่มตายลงเพราะปีศาจอีกประเภทหนึ่ง
ชาวเมืองไพศาลีประสพภัยร้ายกาจ ๓ ประการ คือ ฝืดเคืองหนึ่ง อหิวาตกโรคหนึ่ง ปีศาจหนึ่ง
พากันอพยพไปอยู่เมืองอื่นก็ไม่น้อย ครั้งนั้น ชาวเมืองพากันโจทก์กล่าวโทษพระราชา
ที่ประตูพระราชวังว่า “พระเจ้าข้า ภัยพิบัติ ๓ ประการ ได้เกิดขึ้นแก่ชาวเมืองแล้ว ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมี
พระราชาจักประพฤติผิดพระราชประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่”
แม้เมื่อพระมหากษัตริย์จะโปรดให้ตั้งกรรมการพิจารณาหาความผิดของพระองค์ก็ไม่ปรากฏว่า
พระมหากษัตริย์ทรงประพฤติบกพร่องประการใด ในที่สุด ก็พากันบนเจ้า บวงสรวง เทพยดาอารักษ์
และวิงวอนครูอาจารย์ที่ตนนับถือว่าเป็นผู้วิเศษ สุดแต่ใครจะเล็งเห็นขอให้ช่วยปลดเปลื้อง
แต่ก็ไม่สามารถจะบรรเทาภัยนั้นได้ ครั้นนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่ง ได้กราบทูลพระเจ้าลิจฉวีว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์จากสรรพกิเลส
มีพระหฤทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาเสมอด้วยมหาสมุทร ตรัสรู้สัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จประกาศพระธรรมบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
บัดนี้ เสด็จประทับ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารพระนครราชคฤห์
พระเจ้าพิมพิสารมหาราชทรงสักการะบำรุงอยู่พระองค์ทรงมีอภินิหารบารมีสูงยิ่งนัก
ถ้าจะได้กราบทูลเชิญให้เสด็จมายังพระนครนี้ข้าพระองค์เชื่อเหลือเกินว่า ภัย ๓ ประการนี้
จะต้องสงบเพราะอานุภาพของพระองค์โดยแท้
ลำดับนั้น พระเจ้าลิจฉวี จึงโปรดให้เจ้าชายมหาลี พร้อมด้วยอำมาตย์ ๕ นายเป็นราชทูต
เชิญเครื่องราชบรรณาการไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารมหาราช ณ กรุงราชคฤห์กราบทูลขอประทาน
โอกาสให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จไปบำบัดภัยพิบัติในพระนครไพศาลี โดยเวลาเพียง ๓ วัน
คณะราชทูตนั้นก็เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารยังพระนครราชคฤห์
ทูลขอพระราชทานพระกรุณาตามพระราชบัญชาของพระเจ้าลิจฉวี
พระเจ้าพิมพิสารทรงรับสั่งว่า “ฉันเห็นใจพวกท่าน และยินดีสนับสนุนในเรื่องนี้
ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเสด็จ ขอให้พวกท่านไปทูลอันเชิญดูความจริง เจ้าชายมหาลี
ก็ทรงรู้จักพระองค์ท่านมาก่อน ฉันคิดว่าการเข้าเฝ้าจะไม่ลำบากหรือหนักใจแต่ประการใด
หากพระบรมศาสดาทรงเล็งเห็นประโยชน์ในการเสด็จแล้ว จะทรงพระกรุณาอนุเคราะห์เป็นแน่
การมาของเจ้าชายจะไม่ไร้ผลเสีย” ครั้นแล้วก็โปรดให้ราชบุรุษนำคณะราชทูตนครไพศาลีเข้าเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า
“มหาลี ตถาคตรับปฏิญญาของพระเจ้ากรุงราชคฤห์เพื่ออยู่ในที่นี้เสียแล้ว ถ้าพระเจ้ากรุงราชคฤห์
จะทรงพระกรุณาประทานโอกาสเธอตถาคตก็จะไป”
“ข้าพระองค์ได้รับพระราชทานโอกาสแล้ว พระเจ้าข้า” เจ้าชายมหาลี กราบทูล
“แม้เช่นนั้น มหาลี ก็ควรจะทูลให้พระองค์ทรงทราบเสียก่อนที่จะออกเดินทาง”  พระบรมศาสดาทรงรับสั่ง
เมื่อพระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งมคธรัฐ ทรงทราบจากเจ้าชายมหาลีว่า พระบรมศาสดาทรงพระกรุณาเสด็จ
จึงรีบเสด็จมาเฝ้าทูลขอให้ยับยั้งสัก ๓ วัน เพื่อตกแต่งทางเสด็จ ตลอดที่พักแรม ตามระยะทางจนถึงแม่น้ำคงคา
สุดพระราชอาณาเขต ครั้นได้กำหนดเวลา พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป
ก็เสด็จพระนครไพศาลีโดยมรรคานั้น ด้วยพระเกียรติยศอันสูง ซึ่งพระเจ้ากรุงราชคฤห์ทูลถวายโดยระยะทาง ๕ โยชน์
กำหนดวันละ ๑ โยชน์ทรงประทับแรมตามระยะทางรวม ๕ วัน ก็ถึงฝั่งแม่น้ำคงคา เสด็จลงเรือพระที่นั่ง
ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารจัดถวาย งดงามสมพระเกียรติยศยิ่งนัก และเป็นครั้งแรกที่เสด็จทางน้ำ
ด้วยพระเกียรติยศอันสูงเช่นนี้ พระเจ้าพิมพิสารทรงตามเสด็จพระพุทธดำเนินตลอดทาง
และเสด็จลงประคองเรือพระที่นั่งให้เคลื่อนจากท่าแม่น้ำคงคา ทรงตามเรือพระที่นั่งไปในน้ำเพียงพระศอ
ก็ประทับหยุดยืนทูลว่า “หม่อมฉันจะมารับเสด็จพระองค์คราวเสด็จกลับ ณ ที่นี้อีก”
เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นไปตามแม่น้ำจนลับทิวไม้แล้วจึงเสด็จกลับพระนคร
พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จทางชลมารคสิ้นระยะทาง ๑ โยชน์
ก็ถึงท่าพระราชอาณาเขตพระนครไพศาลี จึงเสด็จขึ้นจากเรือรับสักการะปฏิสันถาร
ซึ่งเจ้าชายมหาลี หัวหน้าคณะราชทูตกราบทูลให้พระเจ้าลิจฉวีจัดถวายให้โอฬาร
ยิ่งกว่าพระนครราชคฤห์จัดเสด็จตามระยะทาง ๓ โยชน์ สิ้นเวลา ๓ วัน ก็ถึงพระนครไพศาลี
ขณะที่เสด็จเหยียบภาคพื้นพระนครไพศาลีก้าวแรกก็ประทับยืน จ้องพระเนตรจับท้องฟ้า
ทรงระลึกถึงพระบารมีที่บำเพ็ญมาแต่ปุเรชาติ ในทันใดนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้นดังแผ่นผาสีครามผืนยาวเหยียด
ในด้านปัจจิมทิศ แล้วเคลื่อนลงมาปกคลุมพระนครไพศาลีพร้อมกับส่งเสียงคำราม กระหึ่มครึมคราญเปรี้ยงๆ
ดังสนั่น ด้วยสายฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วห่าฝนใหญ่ก็หลั่งลงจั๊กๆ ดังเทน้ำ
เสมือนหนึ่งดังจงใจจะล้างพื้นดินให้สะอาด ต้อนรับพระบรมศาสดา ความจริง ก็ดูสมจริงดังกล่าว
ด้วยพอฝนซัดลงมากมายเช่นนั้นแล้วไม่ช้าน้ำฝนก็ไหลลงท้องธาร และท่วมท้นบ่าเข้าพระนคร
พัดเอาซากศพมนุษย์และสัตว์ซึ่งปฏิกูลพื้นแผ่นดินอยู่ ให้ไหลไปสู่ท้องทะเลใหญ่สิ้นเชิง
ดังนั้น พอฝนขาดเม็ดแล้ว ภาคพื้นก็สะอาด ความอบอ้าวเร่าร้อนของอากาศก็สงบ บรรเทาโรคได้ถึงครึ่ง
ด้วยพุทธานุภาพ ในเวลาเย็นวันนั้นเอง พระบรมศาสดา ทรงรับสั่งกับพระอานนท์เถระว่า
“อานนท์เธอจงเรียนเอารัตนสูตรนี้ไปแล้วจาริกไปในกำแพงเมืองไพศาลีเจริญมนต์รัตนสูตรนี้
เพื่อความสวัสดีจากภัยอันใหญ่ของประชาชนเถิด” ในราตรีนั้น พระอานนท์ เรียนเอารัตนสูตรจากพระบรมศาสดาแล้วก็
ประคองบาตรเสลมัยของพระบรมศาสดาซึ่งเต็มด้วยน้ำ ตั้งกัลยาณจิตประกอบด้วย เมตตาระลึกถึงพระพุทธคุณคือ
พระบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ ซึ่งทรงบำเพ็ญมา
และบารมีในปัจฉิมชาตินี้จำเดิมแต่เสด็จลงสู่พระครรภ์เป็นต้น จนตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
ประกาศโลกุตตรธรรม ๙ ประการ เป็นที่สุดเจริญมนต์รัตนสูตรนี้เที่ยวจาริกไปยังภายในกำแพงเมือง
พร้อมด้วยพระเจ้าลิจฉวีทั้งหลายติดตามห้อมล้อมเดินพลางพรมน้ำมนต์พลางจนรอบพระนคร
มนุษย์ที่กำลังประสบภัยแต่ปีศาจและโรค พอถูกหยดน้ำมนต์ที่พระเถระเจ้าพรมเท่านั้น ก็หายจากโรคภัย
มีกำลังสดชื่น ติดตามแวดล้อมพระเถระเจ้าโห่ร้องแซ่ซ้องสาธุการดังสนั่น
มวลภูตผีปีศาจที่เข้ามาเบียดเบียนมนุษย์ครั้นได้ยินเสียงมนุษย์ก็สะดุ้งตกใจกลัว พากันเลี่ยงออก
ที่ยังดื้อแอบหลบอยู่ตามแง้มฝาเรือนและประตู เมื่อถูกหยาดน้ำมนต์ของพระเถระเจ้า ก็เจ็บปวดแทบดับจิต
ประดุจสุนัขถูกฟาดหลังด้วยแส้เหล็ก พากันเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความกลัวสยองเกล้า
ตั้งหน้าวิ่งหนีออกจากเมืองโดยไม่เหลียวหลัง ครั้นไปประดังแน่นยัดเหยียดที่ประตูเมือง
และเมื่อไม่สามารถจะทนรออยู่ได้ ก็พากันพังบานประตูหนีไปจนสิ้นเชิง
ครั้นพระเถระเจ้าจาริกเจริญรัตนสูตร ประพรมน้ำมนต์รอบพระนครแล้ว
ก็พามหาชนซึ่งติดตามมาเป็นอันมากเข้าเฝ้าพระบรมศาสดายังที่ประทับลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงพระกรุณาประทานพระธรรมเทศนาตั้งแต่เบื้องต้น จนประกาศจตุราริยสัจ
ให้มหาชนชื่นชมโสมนัสปรีดาปราโมทย์เกิดศรัทธากล้าหาญ ประกาศตนพุทธมามกะเป็นอันมาก
พระบรมศาสดาทรงพระกรุณาประทานพระธรรมเทศนาอยู่ถึง ๗ วัน ครั้งทรงทราบว่าภัย ๓ ประการสงบแล้ว
และประชาชนมีความผาสุกดีแล้ว ก็ทรงอำลาพระเจ้าลิจฉวี เสด็จพระพุทธดำเนินกลับพระนครราชคฤห์
ด้วยพระเกียรติยศซึ่งพระเจ้าลิจฉวีและมหาชนพร้อมกันจัดบูชาอย่างมโหฬาร
แม้พระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพาร ตลอดชาวพระนครราชคฤห์ก็มีความยินดี
พากันไปต้อนรับพระบรมศาสดาริมฝั่งแม่น้ำคงคา ให้เสด็จกลับมาประทับ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
สมดังมโนปณิธานที่ทรงตั้งไว้นั้นแล

จบตำนานพระพุทธรูปปางห้ามพยาธิแต่เพียงนี้



วัดธรรมบารมี เมืองดอร์ทมุนด์


วันจันทร์
ปางห้ามพยาธิ
“นิยมเรียกกันว่าห้ามพะยาด”